Facebook
บทความยอดนิยม
-
บทความใหม่
Categories
Author Archives: topspeedtraining
5 สัญญาณเตือนปัญหาเกียร์กระปุก
ที่มารูป freepik.com น้ำมันคลัตซ์ลดลงจากกระปุกอย่างผิดสังเกต หรือพบรอยน้ำมันคลัตซ์ใต้ท้องรถ/ในชุดกล่องเกียร์ นี่เป็นสัญญาณว่าอาจมีการรั่วไหลในระบบเกียร์หรือคลัตซ์ทำงานไม่ปกติ คลัตช์ลื่น โดยปกติแล้ว ถ้าใครขับรถเกียร์กระปุกก็จะรู้จักรถของตนเป็นอย่างดี และจะรู้ว่าต้องใช้รอบเครื่องยนต์เท่าไรในแต่ละช่วงความเร็วในแต่ละเกียร์ แต่เมื่อเครื่องยนต์ทำงานมีรอบเครื่องสูงขึ้นแต่ความเร็วรถยนต์ลดลงกว่าปกติ หรือรถไม่มีกำลังขึ้นทางชัน ซึ่งอาจมีสาเหตุที่ผ้าคลัตช์เปื้อนน้ำมันอันเกิดจากน้ำมันเกียร์รั่วหรือผ้าคลัตช์สึกหรอมาก ซึ่งอาการที่ผ้าคลัตช์สึกหรอมากเราจะเรียกอาการนี้ว่าคลัตช์หมด ยิ่งผ้าคลัตช์สึกหรอมากผู้ขับรถก็ต้องใช้แรงในการเหยียบคลัตช์มากและเปลี่ยนเกียร์ได้ยากขึ้น แป้นคลัตซ์นิ่มหรือจม เมื่อเหยียบคลัตช์แล้วรู้สึกยวบนิ่มหรือจมลงไปกว่าปกติ บางครั้งอาจเหยียบแล้วจมไม่คืนกลับมาตำแหน่งเดิม แสดงว่าอาจเกิดการรั่วของน้ำมันคลัตช์หรือมีอากาศเข้าไปในระบบ หรืออาจเป็นทั้งสองอย่างพร้อมกัน แป้นคลัตซ์แข็ง ในทางตรงกันข้าม ถ้าเหยียบแป้นคลัตซ์แล้วรู้สึกแข็งกว่าปกติ ต้องออกแรงมากกว่าที่เคยกดแป้นตามปกติ หรือเหยียบไปแล้วรู้สึกติดขัดหรือกดลงยาก ก็ควรตรวจเช็คระบบคลัตช์เช่นกัน กลิ่นไหม้ โดยปกติที่แผ่นจานคลัตช์จะมีผ้าคลัตช์ฉาบอยู่เพื่อเพิ่มแรงเสียดทาน รวมถึงช่วยลดการเสียดสีและสึกหรอของจานคลัตช์ ผ้าคลัตช์จะเป็นวัสดุที่ทำมาจากใยหิน และสารสังเคราะห์ ผสมรวมกัน มีคุณสมบัติเหนียว (อายุการใช้งานของผ้าคลัตช์จะอยู่ที่ 80,000 ถึง 100,000 กม.) แต่เมื่อใช้งานไปเรื่อยๆผ้าคลัตช์ก็จะเริ่มบางลงจนสุดท้ายจะเหลือแต่จานคลัตช์เปลือยๆ ส่งผลให้เกิดการเสียดสีระหว่างโลหะโดยตรงเมื่อกำลังเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งไม่เพียงแต่จานคลัตช์ที่จะเสียหาย … Continue reading
เมื่อรถ EV ไฟไหม้เองหลังจากน้ำท่วม!
รถโดนน้ำท่วมก็ว่าแย่แล้ว แต่ถ้ารถคันนั้นยังถูกไฟไหม้อีก หากเป็นรถยนต์ธรรมดาก็ว่าแปลกแล้ว แต่ถ้ารถคันนั้นเป็นรถEV ที่ทั้งโดนน้ำท่วมและไฟไหม้เองในคันเดียวกัน มีโอกาสเกิดขึ้นจริงไหม? แล้วการดับไฟและการจัดการหลังน้ำลดสำหรับรถEV จะทำอย่างไร? ทำเหมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันไหม? พายุเฮอริเคน “เอียน” ที่พัดถล่มรัฐฟลอริดาของอเมริกาได้พัดพาคำตอบมาให้กับเราแล้ว… วันที่ 28 กันยายน 2565 พายุเฮอริเคนเอียนพัดถล่มชายฝั่งอ่าวของฟลอริดา คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 136 ราย สร้างความเสียหายสูงถึงมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์และทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่เป็นวงกว้าง นอกจากนี้ ผลพวงของน้ำท่วมจากพายุยังทำให้ยานยนต์ไฟฟ้า(รถEV)อย่างน้อย 11 คันเกิดเพลิงไหม้ ! ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ US TODAY วันที่ 26 ต.ค. 2565 รายงานว่ามีรถEVจำนวน 11 คันที่เกิดเพลิงไหม้ในฟลอริดาหลังเกิดน้ำท่วมจากพายุ โดยสาเหตุเชื่อว่าเกิดจากชุดแบตเตอรี่ของรถที่เกิดการลัดวงจรหลังจากจมอยู่ในน้ำ(ทะเล) หรืออาจเกิดจากความเสียหายทางกายภาพต่อชุดแบตเตอรี่ของรถในระหว่างที่น้ำท่วม … Continue reading
เทคโนโลยี CTC กับ CTB ในรถ EV ของใครเจ๋งกว่า? ต่างกันอย่างไร?
เนื่องจากแต่เดิมทางผู้ผลิตยานยนต์จะใช้โครงสร้างตัวถังหรือแชสซีเดิมของรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน แล้วนำชุดแบตเตอรี่มาจัดวางใต้ท้องรถไปเลย ส่วนโครงสร้างชุดแบตเตอรี่นั้นก็จะเป็นแบบแบตเตอรี่แพ็คที่ประกอบไปด้วยแบตเตอรี่โมดูล และหน่วยเล็กที่สุดเป็นแบตเตอรี่เซลล์ เพราะช่วยในเรื่องการจัดการความร้อน/การถ่ายเทความร้อนในแต่ละเซลล์ และการแบ่งเป็นหน่วยอย่างโมดูล ก็ยังช่วยในการตัดวงจรความเสียหายและง่ายต่อการซ่อมบำรุงแยกเป็นโมดูล รวมถึงยังเพิ่มความแข็งแรงให้กับชุดแบตเตอรี่ในแง่ของความปลอดภัยที่มีโครงสร้างทั้งแบตเตอรี่โมดูลและแบตเตอรี่แพ็คครอบอีกชั้นหนึ่ง แต่รูปแบบ “เซลล์-โมดูล-แพ็ค” นี้ก็ส่งผลให้ต้องมีโครงสร้างและระบบสายไฟที่ซับซ้อนภายในแบตเตอรี่เพื่อเชื่อมระหว่างเซลล์และระหว่างโมดูล จึงได้มีการคิดค้น CTP หรือ Cell to pack ขึ้นเพื่อตัดในส่วนของโมดูลออก CTP (cell to pack) เป็นเทคโนโลยีที่ในแบตเตอรี่แพ็คจะประกอบด้วยเซลล์แบตเตอรี่โดยตรง ไม่ต้องใช้โมดูล ลดส่วนประกอบในโครงสร้างและสายไฟของแบตเตอรี่โมดูลออก ลดต้นทุนและลด process ในการประกอบแบตเตอรี่ แต่ CTP ก็มีข้อจำกัดคือ การบำรุงรักษา และการถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ยุ่งยากขึ้น จากเดิมที่สามารถเปลี่ยนเป็นโมดูลเป็นก้อนๆ เมื่อโมดูลใดโมดูลหนึ่งเสียหาย ก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยกแพ็คเมื่อเซลล์แบตเตอรี่ใดเสียหาย แต่ด้วยการแข่งขันในตลาดรถ EV ที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตยานยนต์บางค่ายต้องการออกแบบให้ตัวถังรถสามารถบรรจุแบตเตอรี่ได้เพิ่มมากขึ้น … Continue reading
เซ็นเซอร์ถอยทำงานอย่างไร ? ดูแลอย่างไร?
รถรุ่นใหม่ๆสมัยนี้จะมีเซ็นเซอร์ถอย ที่ช่วยในการแจ้งเตือนวัตถุกีดขวางเมื่อถอยจอด ซึ่งนอกจากจะช่วยแจ้งเตือนแล้ว ประโยขน์ของเซ็นเซอร์ยังช่วยให้เราถอยจอดในพื้นที่แคบๆได้ ลดความเสียหายที่จะเกิดกับตัวรถและอุบัติเหตุได้อีกด้วย โดยปัจจุบันเซ็นเซอร์ที่นิยมใช้สำหรับรถจะมี 2 ประเภท เซ็นเซอร์แบบอัลตราโซนิค เซ็นเซอร์ประเภทนี้จะใช้หลักการคล้ายๆประสาทสัมผัสของค้างคาว โดยการส่งคลื่นความถี่สูงออกไปและตรวจจับการสะท้อนกลับของคลื่นความถี่ จากนั้นจะคำนวณบอกระยะวัตถุที่กีดขวางโดยแจ้งเป็นสัญญาณเสียงให้เราทราบ (บางรุ่นที่รองรับอุปกรณ์เสริม อาจจะแจ้งเตือนเป็นตัวเลขหรือกราฟฟิคง่ายๆแสดงระยะความใกล้ไกลของวัตถุได้อีกด้วย) อย่างไรก็ตามเซ็นเซอร์ก็อาจตรวจจับไม่เจอ ในกรณีต่อไปนี้ วัตถุที่กีดขวางมีพื้นผิวนุ่มที่ดูดซับเสียง/คลื่นสะท้อน วัตถุที่มีขนาดผอมหรือเรียวมากๆ เซ็นเซอร์ก็อาจตรวจจับไม่เจอ เช่น เสาเล็กๆ วัตถุที่อยู่ด้านในมุมตั้งฉากหรือในมุมที่คลื่นสัญญาณของเซ็นเซอร์ไม่สามารถสะท้อนกลับได้ วัตถุที่อยู่ต่ำเกินไปหรืออยู่ในมุมอับสัญญาณของเซ็นเซอร์ เช่น ขอบถนน เซ็นเซอร์แบบอิเล็กโตรแมกเนติก ด้วยข้อจำกัดในการตรวจจับของเซ็นเซอร์แบบอัลตราโซนิค จึงมีการพัฒนาเซ็นเซอร์โดยใช้สัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถตรวจจับวัตถุได้ดีกว่า แต่ราคาก็สูงกว่า โดยมากเซ็นเซอร์ประเภทนี้จะใช้ร่วมกับกล้องถอย เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบฃ่วยจอด การดูแลรักษา ปกติตัวเซ็นเซอร์และระบบจะไม่ค่อยมีปัญหา รวมถึงอายุการใช้งานค่อนข้างนานหลายปี ส่วนใหญ่ปัญหาที่พบมักจะเป็นที่ตัวเซ็นเซอร์เองที่เสียเนื่องจากมีน้ำหรือฝุ่นเข้า ให้ใช้พวก สเปรย์อเนกประสงค์พวก WD-40 หรือน้ำยาป้องกันสนิม หล่อลื่นอุปกรณ์ … Continue reading
เมื่อไรต้องเปลี่ยนผ้าเบรค จานเบรค?
ปกติผ้าเบรคควรจะเปลี่ยนที่ราวๆ 50,000 ถึง 100,000 กิโลเมตรหรือเมื่อผ้าเบรคมีความหนาน้อยกว่า 3 มม. แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของผ้าเบรคและพฤติกรรมในการขับขี่ ว่ามีการเหยียบเบรคกระทันหันด้วยความรุนแรงหรือไม่ มีการเลี้ยงเบรคหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจานเบรคก็มีการสึกหรอจากการเสียดสีและส่งผลให้ผิวจานอาจไม่เรียบด้วยเช่นกัน โดยตามหลักการแล้ว เมื่อเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ก็ควรจะเปลี่ยนจานเบรคใหม่ด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากรถยนต์สมัยก่อนที่จานเบรคค่อนข้างหนา การเจียรจานเบรคเพื่อปรับผิวหน้าจานใหม่ให้เรียบนั้นสามารถทำได้ แต่สำหรับรถยนต์ในปัจจุบันด้วยการลดต้นทุนของค่ายรถต่างๆ จานเบรคจึงมีความหนาลดลงเพื่อลดต้นทุนและราคา ดังนั้นผู้ผลิตรถยนต์จึงแนะนำให้เปลี่ยนจานเบรคใหม่เมื่อมีการเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ไปพร้อมกันเลยมากกว่า แต่ในความเป็นจริงก็ไม่จำเป็นว่าทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ต้องเปลี่ยนจานเบรคไปด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพจานเบรคว่าไม่มีการโก่งบิดเสียรูป/รอยคลื่นและยังมีความหนาเพียงพอในการใช้งานหรือไม่ ยกเว้นว่าถ้าจานเบรคเคยถูกเจียรมาก่อนแล้ว เมื่อต้องทำการเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่อีกรอบ ก็ไม่ควรจะเจียรจานอีกเพราะความหนาของจานเบรคอาจไม่เพียงพอ ส่วนความหนาน้อยสุดเมื่อต้องเปลี่ยนจานเบรคสามารถตรวจสอบได้จากตัวจานเบรคเอง บางครั้งเราก็สามารถบอกได้ด้วยตัวเองว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนจานใหม่ได้แล้ว ถ้าพบว่าเมื่อเหยียบเบรคแล้วมีเสียงเหล็กเสียดสีมาจากเบรคหรือมีแรงสั่นเมื่อเหยียบเบรค รวมไปถึงเมื่อมีสัญญาณไฟเตือนบนแผงหน้าปัดด้วยเช่นกัน
ไฟเตือนเครื่องยนต์เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?
ไฟเตือนเครื่องยนต์ คือ ไฟที่แสดงสัญญาณจาก ECU รถว่ามีปัญหาอะไรสักอย่าง โดยปกติแล้วเมื่อรถติดเครื่องแล้ว ECU จะทำการตรวจสอบทวนสัญญาณกับทุกอุปกรณ์ในระบบว่ายังทำงานปกติดีอยู่หรือเปล่า ถ้าไฟเครื่องยนต์ติดกระพริบขณะที่ขับรถอยู่ให้รีบทำการหยุดรถ(ในที่ปลอดภัย)ทันที แล้วทำการติดต่อรถลากเข้าอู่หรือศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบ หากยังฝืนขับต่อ เครื่องยนต์หรืออุปกรณ์ที่สำคัญในรถอาจจะเสียหายหนักจนต้องยกเครื่องใหม่เลยก็ได้ แต่ถ้าไฟเครื่องยนต์แค่ติดค้าง กรณีนี้ถือว่ายังไม่ร้ายแรง ยังพอสามารถขับรถต่อไปได้ แต่ก็ควรตรวจเช็คเพิ่มเติมเพื่อแก้ไข โดยทั่วไปแล้วสาเหตุที่ส่งผลให้ไฟเตือนเครื่องยนต์ติดมักเกิดจากอุปกรณ์ส่วนใหญ่ดังต่อไปนี้ Catalytic converter ซึ่งมีหน้าที่หลักคือการแปลงสสารของก๊าซคาร์บอนมอนน็อกไซต์หรือสารพิษอื่นๆให้ลดทอนลงด้วยความร้อนสูงๆ รวมถึงเผาไหม้ตะกอนต่างๆอีกด้วย ดังนั้นถ้ามีไฟเตือนเครื่องยนต์ติดจากแคตฯก็จะส่งผลให้ครื่องยนต์ไม่มีกำลังและกินน้ำมัน (อ่านเทคนิคการดูรักษาแคตฯได้จากบทความ “7 เหตุผลที่ทำให้แคตตาไลติกกลับบ้านเก่าก่อนกำหนด”) Mass Airflow Sensor (MAF sensor) เป็นอุปกรณ์ที่วัดปริมาณอากาศที่เข้าสู่ระบบแล้วส่งข้อมูลไป ECU เพื่อประมวลผลฉีดน้ำมันให้เหมาะสมกับการเผาไหม้กับปริมาณอากาศที่เข้ามา ส่วนใหญ่แล้วโอกาสที่เซ็นเซอร์จะเสียนั้นพบไม่ได้บ่อย แต่ถ้าเซ็นเซอร์ทำงานผิดเพี้ยน ต้นเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากกรองอากาศที่ตันหรือสกปรกซึ่งไม่ได้รับการเปลี่ยนใหม่มากกว่า อาการที่จะตามมาก็คือเครื่องกระตุกสะดุด ไม่มีกำลัง (อ่านบทความเกี่ยวการเปลี่ยนกรองอากาศได้ที่ “การเปลี่ยนกรองอากาศไม่ได้ช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้น!”) … Continue reading
Posted in การดูแลรถ, ความรู้เรื่องรถ, อื่นๆ
Tagged ไฟเครื่องยนต์, ไฟเตือนเครื่องยนต์
Leave a comment
8 เทคนิคขับรถให้สนุก ขับรถลดเครียด
งานวิจัยชี้ว่าหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างความเครียดที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การขับรถ เพราะการขับรถนั้นต้องใช้ทั้งสมาธิและสติ ดังนั้นการจัดการความเครียดบนถนนจึงถือเป็นเรื่องสำคัญของตัวเราและเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน แต่อย่างไรก็ตามการขับรถก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเครียดหรือน่าเบื่อเสมอไป จริงๆแล้วห้องเล็กๆแคบๆที่เรียกว่าห้องโดยสารนี้ นั้นเป็นได้มากกว่าห้องโดยสาร เราสามารถที่จะเปลี่ยนห้องนี้เป็นห้องพักส่วนตัวที่สงบ, ห้องสำหรับครอบครัวที่เราสามารถสนุกร่วมกัน รวมไปถึงเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนก็ทำได้ ด้วย 8 เทคนิคง่ายๆดังต่อไปนี้ วางแผนก่อนการเดินทาง มีหลายวิธีที่ช่วยลดความเครียดระหว่างขับรถ, ก่อนออกจากบ้านส่วนใหญ่เรารู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องเจอกับรถติดหรืออาจจะเดินทางไปถึงที่ทำงานสาย แค่นี้เราก็จะเริ่มรู้สึกเริ่มเครียดแล้ว ดังนั้น ถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงช่วงเวลาเร่งด่วน หรือลองเดินทางในช่วงเวลาที่ต่างกันเล็กน้อยในแต่ละวัน อาจจะออกจากบ้านก่อนหรือช้ากว่าปกติสัก 15-20 นาที ก็ช่วยลดความเครียดในการขับรถได้ไม่น้อย (ขึ้นอยู่กับว่าคุณไปที่ไหนด้วยนะ) อย่าลืมตรวจเช็คเส้นทางและสภาพการจราจร เพราะถนนบางสายอาจมีการปิดหรือซ่อมทาง รวมไปถึงเช็คสภาพการจราจรล่าสุดจาก Google maps หรือแอพฯอื่นในโทรศัพท์ก่อนด้วย หมั่นดูแลตรวจสอบบำรุงรักษารถ รถเสียระหว่างเดินทางก็ถือเป็นอีกเรื่องที่เครียดไม่น้อยสำหรับทุกคนที่ขับรถ แต่คุณสามารถลดโอกาสที่รถจะเสียฉุกเฉินนี้ได้โดยนำรถเข้าเช็คระยะตามกำหนดอยู่เสมอ รวมไปถึงการตรวจเช็ครถก่อนการเดินทางไกลด้วย หรือถ้าคุณมีเวลา ก็ควรหมั่นคอยตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง น้ำหม้อน้ำ น้ำล้างกระจกด้วยตัวเอง บางทีคุณอาจได้เจอกับแม่แรงติดรถโดยที่คุณไม่รู้มาก่อนว่ามันอยู่ตรงนั้น อย่าขับในขณะที่กำลังโกรธหรืออารมณ์ไม่ปกติ หลีกเลี่ยงที่จะขับรถเมื่อเหนื่อย,โกรธ หรือเมื่อมีเรื่องที่กระทบกระเทือนอารมณ์อย่างรุนแรงและกำลังเครียดอยู่ก่อนแล้ว ควรหยุดพักก่อนเพื่อชาร์จแบตสักพักถือเป็นทางที่ดีกว่า ลองเปลี่ยนmind set เปลี่ยนมุมมองดูบ้าง ความคิดหรือความรู้สึกลบๆนั้นมีแต่จะทำให้ขับรถยิ่งเครียด ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนทัศนคติอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะเปลี่ยนได้ทันทีและต้องใช้เวลาก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ โดยพยายามเปลี่ยนมุมมองว่าการขับรถไม่ใช่เรื่องที่ต้องกดดัน พยายามทำความเข้าใจว่าอะไรทำให้รู้สึกเครียดและพยายามค่อยๆแยกปัญหาออกเป็นส่วนๆ … Continue reading
4 อาการรถดับกลางอากาศ
เมื่อรถดับกลางอากาศหรือขณะรอบเดินเบา จะมีแนวทางในการวิเคราะห์ได้หลายสาเหตุ แต่ต้นเหตุส่วนใหญ่มักจะมาจากระบบระบบน้ำมันเชื้อเพลิง, ระบบไอดี หรือระบบไฟชาร์จ แต่เราสามารถจำแนกลักษณะอาการที่รถดับกลางอากาศได้ 4 ลักษณะดังต่อไปนี้ ปัญหารถดับจากระบบไฟชาร์จ ปัญหาจากระบบไฟชาร์จ เป็นหนึ่งในต้นเหตุที่พบได้บ่อยเมื่อรถกระตุกดับ โดยจะตรวจสอบง่ายๆจากสัญญาณไฟเตือนหน้าปัดรถเมื่อระบบไฟชาร์จมีปัญหา เช่น สัญญาณไฟเตือนแบตเตอรี่, สัญญาณไฟเตือนไฟชาร์จ, ไฟเตือนเครื่องยนต์ เป็นต้น รวมไปถึงเรายังสามารถตรวจสอบระบบไฟชาร์จได้ด้วยโวลต์มิเตอร์ ถ้าวัดไฟได้น้อยกว่า 12 โวลต์ หรือแอมป์มิเตอร์เมื่อวัดค่ากระแสได้น้อยๆ โดยปัญหาไฟเตือนจากระบบไฟชาร์จนั้นอาจจะเกิดจากอุปรณ์/ชิ้นส่วนทางไฟฟ้าที่ทำงานผิดปกติเพียงตัวเดียวหรือหลายตัวก็เป็นได้เพราะสัญญาณไฟเตือนนี้กำลังบอกให้เรารู้ว่าระบบไฟชาร์จไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงพอสำหรับแบตเตอรี่และวงจรไฟฟ้าอื่นๆให้ทำงานได้อย่างปกติ โดยสาเหตุส่วนใหญ่นั้นมักมาจากตัวไดชาร์จเองหรือไม่ก็ตัวควบคุมแรงดันไฟฟ้า (voltage regulator) เมื่อระบบชาร์จไฟของรถไม่สามารถทำงานได้ เรายังอาจจะขับรถต่อไปได้อีกประมาณ 30 นาที (โดยมีเงื่อนไขว่าแบตเตอรี่ต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดี) แต่เมื่อไฟหมดเกลี้ยงแบตเตอรี่ เราจะไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้อีก ในรถบางรุ่น, ระบบไฟชาร์จอาจจะถูกควบคุมด้วย ECU รถ ดังนั้นกรณีนี้ระบบไฟชาร์จจะส่งสัญญาณเป็นโค๊ดแจ้งเตือนออกมา ซึ่งโค๊ดนี้จะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาต่อไปได้ โดยใช้ตัวอ่าน OBD 2 ในการ download โค๊ดสัญญาณ อย่างไรก็ตาม ถ้าไฟเตือนเครื่องยนต์ไม่โชว์ แนวทางการวิเคราะห์ให้ตรวจเช็คอุปกรณ์ดังต่อไปนิ้ ตรวจสอบสภาพภายนอกตัวแบตเตอรี่ว่ามีความเสียหายหรือไม่ ตรวจสอบขั้วและสายไฟของแบตเตอรี่ ว่ามีสนิม/ขี้เกลือที่ขั้วแบต หรือสายหลุด/หลวมหรือไม่? เพราะล้วนส่งผลให้การชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ไม่สมบูรณ์ไม่เสถียร ถ้าสภาพขั้วและสายไฟไม่พบความผิดปกติ ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากตัวแบตเตอรี่เองที่อาจจะเสียหรือเสื่อมสภาพไปแล้ว ตรวจสอบสายพาน เพราะสายพานที่หลวมหรือสึกก็ส่งผลให้ไดชาร์จชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ไม่ดีเช่นกัน ให้ทำการตรวจสอบสภาพสายพาน ปรับตั้ง … Continue reading
7 เหตุผลที่ทำให้แคตตาไลติกกลับบ้านเก่าก่อนกำหนด
รถยนต์ในปัจจุบันทุกรุ่นทุกยี่ห้อล้วนมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่เรียกว่า “แคตตาไลติก คอนเว็ตเตอร์” (ต่อไปนี้ขอเรียกสั้นๆว่า “แคตฯ”นะครับ)อยู่เป็นอุปกรณ์พื้นฐานประจำตัวรถไปแล้ว โดยแคตฯจะทำหน้าที่เปลี่ยน/สลาย/ลดสารพิษในแก๊สไอเสีย 3 ตัว ได้แก่ ไนโตรเจนออกไซต์, คาร์บอนมอนอกไซต์และส่วนผสมของไฮโดรคาร์บอน ซึ่งแคตฯจะช่วยเปลี่ยนรูปสารพวกนี้เป็นคาร์บอนไดออกไซต์,ไนโตรเจนและน้ำด้วยการใช้ปฏิกิริยาทางเคมีที่ความร้อนสูงๆ รวมถึงเพื่อเผาไหม้ตะกอนและเขม่าต่างๆ อันเป็นการล้างทำความสะอาดตัวแคตฯเองภายในอย่างอัตโนมัติไปด้วย แต่ด้วยแคตฯเป็นอุปกรณ์ที่ต้องทำงานภายใต้ความร้อนที่ค่อนข้างสูงตลอดๆ โดยถ้าความร้อนนี้ถ้าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดๆหนึ่งก็สามารถทำลายตัวแคตฯเองได้เช่นกัน ดังนั้นผมขอสรุป 7 เหตุผลใหญ่ๆที่ทำให้แคตฯกลับบ้านเก่าก่อนกำหนดมาฝากครับ น้ำมันที่เผาไหม้ไม่หมดหรือเขม่า/ตะกอนใดๆก็ตามที่หลุดเข้าสู่ตัวแคตฯ นอกจากจะทำให้เกิดการอุดตันที่ตัวแคตฯได้แล้ว ยังส่งผลให้ความร้อนในแคตฯเพิ่มสูงขึ้นจนเกินควบคุมได้ โดยความร้อนที่สูงมากเกินไปนี้ก็จะไปหลอมละลายแผงรังผึ้ง สร้างรอยแตกรอยร้าวและส่งผลให้แคตฯสั่น ส่วนอาการภายนอกก็คือเครื่องยนต์ไม่มีกำลัง กินน้ำมัน เครื่องร้อน(Overheat) และมีไฟเตือนเครื่องยนต์โชว์ที่หน้าปัดรถครับ เมื่อน้ำหม้อน้ำรั่วจากประเก็นท่อร่วมไอดี โดยส่วนใหญ่มักจะถูกดูดไหลเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้สารเคมีในน้ำหม้อน้ำปนเปื้อนกับตัวเร่งปฏิกิริยาที่แคตฯอย่างรวดเร็วและส่งผลให้แคตฯเริ่มเสี่อม ทางป้องกันง่ายๆก็คือหมั่นคอยตรวจสอบหาระดับน้ำหม้อว่ามีการพร่องไปหรือไม่อยู่เสมอ ก็จะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ การเลือกใช้น้ำมันเครื่องผิดเบอร์ก็อาจส่งผลเสียต่อแคตฯได้เช่นกันครับ เพราะน้ำมันเครื่องที่หนืดเกินไปจะทำให้เกิดไอระเหยของน้ำมันมากขึ้นด้วย ซึ่งไอระเหยนี้เมื่อจับรวมตัวกับน้ำมันแล้ว จะถูกเผาไหม้ไม่หมดเกิดเป็นตะกอน/เขม่าที่จะหลุดเข้าสู่แคตฯพร้อมกับไอเสีย โดนตะกอนที่ไม่เผาไหม้นี้เองที่จะทำให้อุณหภูมิภายในแคตฯสูงขึ้นเรื่อยๆจนสร้างความเสียหายให้กับตัวแคตฯ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ช้ากว่ากำหนดนอกจากจะทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้นแล้ว ยังลดประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และยังส่งผลให้น้ำมันหลุดเข้าสู่ระบบท่อไอเสียทำลายแคตฯได้ด้วยเช่นกันครับ … Continue reading
3 เทคนิคการตรวจสอบก่อนซื้อรถมือสอง
ตรวจสอบว่าเคยประสบอุบัติเหตุหนักมาก่อนหรือไม่ ตรวจสอบร่องรอยการทำสีรถ ถ้ามีการทำสีจากรอยเฉี่ยวชน รอยถากต่างๆแบบนี้ถือว่ารับได้ แต่ถ้าเป็นรถที่เคยประสบอุบัติเหตุหนัก จะตรวจสอบพบว่าจะมีการทำสีในจุดที่ไม่ควรจะทำสี เช่น ภายในห้องเครื่อง รอยต่อของคานหน้า/ตัวถัง บริเวณที่เก็บยางอะไหล่ เป็นต้น คานหน้าไม่ควรมีการทำสี ไม่ควรมีร่องรอยการเคาะพ่นสีหรือเคยเปลี่ยนมาก่อน น็อตยึดกับตัวถังก็ไม่ควรดูใหม่ ควรมีสภาพความเก่าใกล้เคียงกับห้องเครื่อง และไม่ควรมีร่องรอยการถอดหรือทำสีที่หัวน็อต สติกเกอร์ต่างๆในห้องเครื่องก็ควรดูหมอง มีสภาพกลมกลืนกับห้องเครื่อง ไม่ควรดูใหม่ ตรวจสอบประวัติการขับขี่กับบริษัทประกันภัย ตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์/อุปกรณ์ต้องสอดคล้องกับเลขไมล์ ห้องเครื่องและห้องโดยสาร ควรมีความใหม่เก่าสอดคล้องกับอายุการใช้งาน อะไหล่หรือชิ้นส่วนแต่ละอย่างต้องมีความใหม่เก่าสอดคล้องกับอายุรถ ตรวจสอบว่าไม่มีอาการผิดปกติหรืออาการเสียเรื้อรังซ่อนอยู่ เมื่อสตาร์ทแล้วไม่ควรมีไฟสัญญาณที่ผิดปกติโชว์ขึ้นมา ไม่ควรมีเสียงหรือกลิ่นที่ผิดปกติ เครื่องต้องไม่สั่นจนผิดสังเกต ตลอดจนทดลองเปิดแอร์ เปิดไฟ บีบแตร และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆเพื่อทดสอบการทำงานด้วย ก่อนขับก็ควรตรวจสอบ เสียงเครื่องยนต์ รวมถึงใต้ท้องรถว่ามีน้ำยาอะไรหยดหรือไม่ ตลอดจนควันและเสียงจากท่อไอเสีย เมื่อทดลองขับรถ ก็ควรเข้าเกียร์ต่างๆให้ครบ ทั้งเดินหน้า ถอย … Continue reading